วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กาแฟ 2 สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย

   

 อาราบิก้า เป็นกาแฟที่มีรสชาติดี จึงเป็นที่นิยมมากว่าโรบัสต้าที่มีปริมาณของกาเฟอีนสูงกว่า ทั้งยังมีรสชาติที่ขมและเปรี้ยวกว่า อาราบิก้านิยมปลูกในภาคเหนือเนื่องจากภูมิอากาศแถบนี้เอื้ออำนวยสำหรับการปลูกกาแฟพันธุ์นี้
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่หลอด

 


         

         ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่หลอด เป็นไร่ทดลองกาแฟอราบิก้าสถานีแรกๆในอดีตของโครงการหลวง ก่อตั้งเมื่อปี 2527 เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ภายในเนื้อที่จัดสรร 60 ไร่ พื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ประชากรเป็นคนเมืองและชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เน้นการวิจัยกาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ผสม 28 สายพันธุ์ ควบคู่ไปกับการวิจัยพืชเสริมชนิดอื่น อาทิ กระวาน พริกไทย เพื่อใช้ปลูกร่วมในแปลงกาแฟ


         ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่หลอด ตั้งอยู่ที่บ้านแม่หลอดเหนือ หมู่ 10 ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ สูงจากระดับน้ำทะเล 680 เมตร รับผิดชอบอาณาบริเวณ 8.36 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,226 ไร่ พื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ประชากรเป็นคนเมืองและชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบเหมาะแก่การทำนาและปลูกพืชไร่ เป็นแหล่งต้นน้ำแม่ฮาและลำห้วยสายต่างๆ อุณหภูมิเฉลี่ย 26.5 องศา

         ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมที่นี่ ในศูนย์วิจัยฯ สวยและน่าสนใจ มีเจ้าหน้าที่พาชมไร่ทดลองกาแฟพันธุ์อาราบิก้า ชมแปลงทดลองปลูกพืชเมืองหนาว และเพาะพันธุ์สัตว์ที่เป็นสัตว์หายากเพื่ออนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลัง อย่างเช่น ไกฟ้า กระต่ายหลายสายพันธุ์  ที่นี่มีบริเวณกว้างขวางแถมน้องหมา "ซำเหมา"  ก็น่ารักมากเป็นสุนัขใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน เห็นเจ้าหน้าบอกว่าจะให้เป็นฑูตวัฒนธรรมของที่นี่ด้วย

     กิจกรรมท่องเที่ยว   - ชมแปลงสาธิตการปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้าภายในศูนย์ฯ
   - ชมสถานีเพาะกล้าและเมล็ดพันธุ์
   - ชมแปลงปลูกป่า
   - ชมประเพณีและการละเล่นของชาวกะเหรี่ยง อาทิ การเลี้ยงผี กินข้าวใหม่ การแต่งงาน การเต้นรำ ฯลฯ
   - ชมงานหัตถกรรมชาวเขา อาทิ การทอผ้า การตำข้าว ณ ศูนย์วัฒนธรรมบ้านยาแตก
   - ชมความงามของน้ำตกหมอกฟ้า (ตาดหมอก) บริเวณปากทางเข้าศูนย์ฯ
   - ชมน้ำตกตาดเจียงฮาย เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ความสูงประมาณ 3 เมตร
     
      การเดินทาง
      จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้ทางหลวงสาย 107 เชียงใหม่-ฝาง ถึงแยกตลาดแม่มาลัย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงสาย 1095 ถนนแม่มาลัย-ปาย ตรงไปประมาณ 18 กิโลเมตร มีแยกซ้ายมือไปน้ำตกหมอกฟ้า เลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ระยะทางรวมประมาณ 58 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 


         โรบัสต้า มีข้อดีตรงที่สามารถปลูกในพื้นที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย   รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย โรบัสต้านิยมปลูกทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดสุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ระนอง, นครศรีธรรมราช, พังงาและกระบี่

         กาแฟพันธุ์โรบัสต้า เจริญเติบโตได้ดีในแถบบริเวณที่ราบต่ำ สามารถปลูกได้ง่าย มีความต้านทานต่อการติดเชื้อโรคได้สูง สามารถทนต่ออุณหภูมิและความชื้นสูงได้ดี ได้ผลผลิตเมล็ดกาแฟมาก และผลของมันยังสุกเร็วกว่า พันธุ์อาราบิก้าด้วย แต่มีคุณภาพ รสเข้มข้นและราคาต่ำกว่ากาแฟพันธุ์อาราบิก้า ส่วนใหญ่จะนิยมนำกาแฟพันธุ์นี้มาผลิตทำกาแฟผงสำเร็จรูปในปัจจุบัน


http://nuchr.multiply.com/journal/item/11/11?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem

การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ


การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ

การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟ มีคำแนะนำเบื้องต้น ดังนี้

1. ซื้อเพื่อดื่มที่บ้าน หรือ เปิดร้านกาแฟ
  • ถ้าซื้อเพื่อดื่มที่บ้าน ก็ควรเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟที่สะดวกและง่ายต่อการทำเครื่องดื่มกาแฟ และ ง่ายต่อการล้างทำความสะอาดและที่สำคัญเหมาะสมกับขนาดพื้นที่ของบ้านด้วย เพื่อความสวยงาม
  • ถ้าเปิดร้านกาแฟ สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุด คือ เปิดร้านกาแฟแบบใด
  • ถ้า เปิดร้านกาแฟ โดยเฉพาะ เราควรให้ความสำคัญกับ เครื่องชงกาแฟ เป็นพิเศษ เพราะเปรียบเสมือนพระเอกประจำร้านเรา ควรเลือก เครื่องชงกาแฟ ที่มีแรงดันอย่างน้อย 15 บาร์, ตัวเครื่องทำจากเหล็ก หรือ สแตนเลส หรือ วัสดุที่แข็งแรงทนทาน, ขนาดบอยเลอร์(หม้อต้มน้ำในตัวเครื่อง) ไม่ควรน้อยกว่า 500 ซีซี, การใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก และสามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ง่าย
  • ถ้า เปิดร้านกาแฟ ควบคู่กับ ร้านค้าอย่างอื่น เช่น ร้านเบเกอร์รี่, ร้านหนังสือ, ร้านหมอฟัน, ร้านไปรษณีย์ หรือ ร้านค้าประเภทอื่นๆ ควรเลือกเครื่องชงกาแฟที่ทำงานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เป็นหลัก
2. งบประมาณที่มี

ควรจัดทำงบประมาณการทั้งหมดในการเปิดร้าน โดยแบ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกเป็นสัดส่วน เช่น
  • ค่าก่อสร้างร้าน คิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์
  • ค่าเช่า และมัดจำพื้นที่ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์
  • ค่าเครื่องชงกาแฟ และเครื่องบดกาแฟ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์
  • ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด คิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์
  • เงินทุนหมุนเวียน คิดเป็น 15 เปอร์เซ็นต์
3. ประเทศผู้ผลิต

ควรเลือก เครื่องชงกาแฟ ที่ผลิตในประเทศที่น่าเชื่อถือ อาทิเช่น ประเทศต้นกำเนิด เครื่องชงกาแฟ อย่างประเทศอิตาลี เป็นต้น ก็จะทำให้ท่านมั่นใจได้ว่า เครื่องชงกาแฟ ที่ท่านซื้อนั้นได้มาตรฐาน ปลอดภัย

4. ตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทย

ผู้จำหน่ายในประเทศไทยก็เป็นส่งสำคัญที่ผู้เลือกซื้อ เครื่องชงกาแฟ ควรคำนึงถึง เพราะนั่นหมายถึงการรับประกันหาก เครื่องชงกาแฟ ซื้อมาแล้วใช้งานไม่ได้ คือ ขายแล้วไม่ทอดทิ้งกัน มีบริการหลังการขาย มีการฝึกอบรมการใช้เครื่องชงกาแฟ มีคู่มือทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ถ้าแถมสูตรการชงกาแฟ นานาชาติด้วยแล้ว ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

5. ศูนย์ซ่อมเครื่องชงกาแฟ

เป็นสิ่งที่ผู้กำลังเลือกซื้อ เครื่องชงกาแฟ สักเครื่องไม่ควรมองข้าม เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดต้องการการบำรุงรักษา ซ่อมแซม ยิ่ง เครื่องชงกาแฟ ด้วยแล้ว มีอะไหล่บางชิ้นเป็น อะไหล่ สิ้นเปลืองที่ต้องทำการเปลี่ยนบ่อยๆ อาทิเช่น ซีลยาง การล้างตะกรันบอยเลอร์ เฟืองบด ฟันบด เป็นต้น ควรเลือกบริษัทผู้แทนจำหน่ายที่มีศูนย์ซ่อม มีช่างเป็นของตนเอง และอะไหล่พร้อมเสมอ

รุ่น เครื่องชงกาแฟ ที่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น คือ  


Coffee Machine Imat Napolitanaยี่ห้อ ไอแมท รุ่น นาโปลิทาน่า จะเป็น เครื่องชงกาแฟ ที่มาพร้อมกับเครื่องบดกาแฟในตัว
Coffee Machine Esprsso Machine Oscar Professinal Nuova Simonelliยี่ห้อ นูโอว่า ซิโมเนลลี่ รุ่น ออสก้า จะเป็น เครื่องชงกาแฟ ขนาดกลางที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ด้วยขนาดบอยเลอร์ ถึง 2 ลิตร


สูตรชงกาแฟ


                                                 สูตรชงกาแฟ
สำหรับสูตรชงกาแฟที่นำมาฝากวันนี้จะมีทั้ง สูตรการชงกาแฟร้อน สูตรชงกาแฟเย็น และสูตรชงกาแฟโบราณร้อน 3 อย่างเลยนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
สูตรชงเนสกาแฟร้อน


  1.เนสกาแฟ 2 ช้อนชา
  2.คอฟฟี่เมต 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน
  3.นมข้นหวาน 2 ช้อนชา((อาจจะเพิ่มตามเหมาะสมถ้าลูกค้าชอบหวาน))
  4.เติมน้ำ 2/4 แก้ว
  5.ใส่นมสดไม่ต้องคนนะคะลูกค้าคนเอง
สูตรชงเนสกาแฟเย็น
  1. เนสกาแฟ 2 ช้อนชา
  2. คอฟฟี่เมต 2 ช้อนชา
  3. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  4. เติมน้ำ 3/4 แก้ว
  5. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา
  6. คนให้เข้ากันเทใส่น้ำแข็งโรยนมสด

สูตรชงกาแฟโบราณร้อน
เทน้ำกาแฟครึ่งแก้วค่ะ
นมข้น 2 ช้อนชา
เทนมสดใส่ลงไป
ไม่ต้องคนค่ะ เสิร์ฟเลย

http://www.thaicoffeezone.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%8A/

ประเภทของกาแฟ


ประเภทของกาแฟ

กาแฟนม

  • Café con leche เป็นกาแฟลาเตในแบบของชาวสเปน
  • ลาเต้ เป็นเอสเปรสโซผสมนมร้อน ความเข้มข้นไม่มากเท่าคาปูชิโนเนื่องจากใส่นมเยอะกว่า (ลาเต้ เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ในอิตาลีเรียกลาเต้ว่า Caffè e latte หรือ caffelatte)
  • กาแฟนม เป็นเครื่องดื่มที่คล้ายๆกับนมช็อกโกแลต แต่ใช้น้ำเชื่อมกาแฟแทนการใช้น้ำเชื่อมช็อกโกแลต

[แก้]มอคค่า

มอคค่า เป็นการดัดแปลงของลาเต้ มีอัตราส่วนของเอสเปรสโซและนมเป็นอัตรา 1:3 เหมือนกับลาเต้ แต่มีการใส่ช็อกโกแลตเพิ่มลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้น้ำเชื่อมช็อกโกแลตแทนช็อกโกแลตผงในเครื่องขายอัตโนมัติ ช็อกโกแลตที่ใช้อาจจะเป็นช็อกโกแลตดำหรือช็อกโกแลตนมก็ได้
คำว่า มอคคาชิโน (อังกฤษmoccaccino) เป็นคำที่ใช้ในบางภูมิภาคของยุโรปและตะวันออกกลาง หมายถึงกาแฟลาเต กับโคคาหรือช็อกโกแลต ส่วนในอเมริกา โดยทั่วไปหมายถึงคาปูชิโนใส่ช็อกโกแลต

[แก้]คาปูชิโน

  • คาปูชิโน ประกอบด้วยเอสเปรสโซ, นมร้อน, และฟองนม ในสัดส่วนเท่าๆ กัน ให้รวมมีปริมาตร 4.5 ออนซ์ (เสิร์ฟในถ้วยขนาด 5 ออนซ์) ปกติจะตกแต่งด้วยผงอบเชย ลูกจันทน์เทศ (nutmeg) หรือโกโก้

[แก้]แฟรปปูชิโน

แฟรปปูชิโน เป็นกาแฟที่ถูกตั้งชื่อและจดทะเบียนการค้าโดยสตาร์บัคส์ เป็นกาแฟผสมเครื่องดื่มชนิดเย็นกับกาแฟขวด

[แก้]มอคคาสิปปี

มอคคาสิปปี คล้ายๆกับแฟรปปูชิโนของสตาร์บัค แต่ใช้เอสเปรสโซแทนกาแฟผง

คอร์ตาโด
คอร์ตาโด คือเอสเปรสโซที่ผสมนมอุ่นลงไปเล็กน้อยเพื่อลดความเป็นกรด อัตราส่วนของนมต่อกาแฟอยู่ที่ 1:1-1:2 และนมจะถูกใส่หลังเอสเปรสโซ ถึงแม้นมที่ถูกอุ่นด้วยไอน้ำจะไม่มีฟองมากนัก แต่คนชงกาแฟ (barista)หลายคนก็ทำฟองขนาดเล็กๆเพื่อทำลาเต้อาร์ท กาแฟชนิดนี้เป็นที่นิยมในสเปน, โปรตุเกส และลาติน อเมริกา โดยมากแล้วพวกเขาจะดื่มกาแฟชนิดนี้ในเวลาบ่าย

[แก้]มัคคิอาโต

มัคคิอาโต มาจากภาษาอิตาลีหมายถึง "ถูกทำสัญลักษณ์" หรือ "ถูกกรอง" มักจะหมายถึง

[แก้]อัฟโฟกาโต

อัฟโฟกาโต ในภาษาอิตาลีแปลว่า "ถูกทำให้จม" คือของหวานที่ใช้กาแฟเป็นฐานการปรุง สำหรับ "อัฟโฟกาโต สไตล์ (Affogato style)" หมายถึงการราดหน้าเครื่องดื่มหรือของหวานด้วยเอ็กเพรสโซ และอาจะราดตามด้วยซอสคาราเมล หรือซอสช๊อคโกแลต
คาเฟ อเมริกาโน หรือเรียกง่ายๆว่า อเมริกาโน คือรูปแบบของกาแฟที่มาจากการเติมเอ็กเพรสโซลงในน้ำร้อน ทำให้มีรสเข้มเหมือนกาแฟจุ่มแต่มีรสชาติที่ต่างออกไป ความเข้มของอเมริกาโนมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อตที่ใส่ลงไป ลองแบล็ค ก็เป็นอเมริกาโนจำพวกหนึ่ง

[แก้]แฟลท ไวท์

แฟลท ไวท์ คือกาแฟที่ได้จากการเทนมที่ผ่านการอุ่นด้วยไอน้ำและมีลักษณะเป้นครีม จากก้นเหยือกลงบนเอ็กเพรสโซหนึ่งช็อต
แฟลทไวท์นิยมเสริฟในถ้วยทเซรามิกรงดอกทิวลิป

[แก้]อเมริกาโน

  • อเมริกาโน ทำจากเอสเปรสโซ (หลายๆ ช็อต) กับน้ำร้อน เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับกาแฟที่ได้จากการชงแบบหยด แต่มีรสชาติต่างกัน

[แก้]กาแฟกรองอินเดีย

  • กาแฟกรองอินเดีย (มัทราส) (Indian (Madras) filter coffee) นิยมทั่วไปทางภาคใต้ของอินเดีย ทำจากกากกาแฟหยาบๆ ที่ได้จากเมล็ดที่ถูกอบจนไหม้ (อาราบิกา, พีเบอร์รี) ชงด้วยวิธีหยดประมาณสองถึงสามชั่วโมง ในตัวกรองโลหะแบบของอินเดียโดยเฉพาะ ก่อนที่จะนำไปเสิร์ฟกับนมและน้ำตาล โดยปกติมักมีสัดส่วนกาแฟหนึ่งนมสาม

[แก้]Ca phe sua da

  • กาแฟสไตล์เวียดนาม เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดยการหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้น จากนั้นนำไปเทผ่านน้ำแข็งลงไปในแก้วที่เติมนมข้นหวานไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากการชงกาแฟประเภทนี้ใช้กากกาแฟปริมาณมาก จึงทำให้การชงกินระยะเวลานาน

[แก้]กาแฟกรีก

  • กาแฟกรีก หรือ กาแฟตุรกี ชงด้วยการต้มกากกาแฟละเอียดกับน้ำพร้อมกันในไอบริก ซึ่งเป็นหม้อทำจากทองเหลืองหรือทองแดงมีด้ามยาวและเปิดด้านบน เมื่อชงเสร็จ ก็จะนำไปรินลงในถ้วยเล็กๆ โดยไม่กรองกากกาแฟออก ตั้งกาแฟทิ้งไว้สักพักก่อนดื่ม มักเติมเครื่องเทศและน้ำตาลด้วย
  • โกปิทูบรูค (Kopi tubruk) เป็นกาแฟสไตล์อินโดนีเซียลักษณะเหมือนกับกาแฟกรีก แต่ชงจากเมล็ดกาแฟหยาบ และต้มพร้อมกับน้ำตาลปอนด์ปึกใหญ่ๆ นิยมดื่มในชวาบาหลี, และบริเวณใกล้เคียง

[แก้]เหล้ากาแฟ

[แก้]กาแฟผงพร้อมชง

  • กาแฟผงพร้อมชง (Instant coffee) เป็นกาแฟที่ถูกตากจนแห้งกลายเป็นผงหรือเม็ดเล็กๆ ซึ่งละลายน้ำได้ มันมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกาแฟสดและวิธีการชงก็แตกต่างกันด้วย ความเห็นต่อกาแฟประเภทนี้มีตั้งแต่ "ของเลียนแบบที่สุดจะทนดื่มได้" ไปจนถึง "ทางเลือกที่ดี" และ "ดีกว่าของแท้" ในประเทศที่มันได้รับความนิยม มักจะเรียกมันว่า "กาแฟปูโร (Café Puro) " ในฐานะที่มันเป็นที่ขยาดของพวกเซียนกาแฟ

[แก้]อื่น ๆ

  • กาแฟเย็น มักเสิร์ฟพร้อมนมกับน้ำตาล
  • กาแฟแต่งกลิ่นและรส (Flavoured coffee) บางสังคมมักนิยมแต่งกลิ่นและรสกาแฟ ช็อกโกแลตเป็นสิ่งหนึ่งที่นิยมเติมกัน อาจโดยการโรยข้างบน หรือผสมเข้ากับกาแฟ เพื่อเลียนแบบรสชาติของมอคค่า รสอื่นๆ ที่นิยมเติมได้แก่เครื่องเทศต่างๆ เช่น อบเชยลูกจันทน์เทศ (nutmeg) , กระวาน, และน้ำเชื่อมอิตาเลียน (Italian syrups)
  • กาแฟดำ ชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเปรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ
    • ถ้วยเสิร์ฟของเอสเปรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว
    • ปกติแล้วเอสเปรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม เพราะคนไม่นิยม
    • เอสเปรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน
    • รสชาติของเอสเปรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที)
  • กาแฟขาว (White coffee) เป็นกาแฟที่เติมนมเข้าไปหลังจากทำเสร็จ อาจเติมน้ำตาลด้วยก็ได้
  • หม้อกาแฟ มีหลายรูปลักษณ์และขนาด หม้อแบบดั้งเดิมที่ใช้ต้มกาแฟมีคาเฟอีนจะมีสีน้ำตาลหรือดำ ส่วนหม้อสีส้มใช้สำหรับต้มกาแฟไร้คาเฟอีน

สรรพคุณและผลกระทบต่อสุขภาพ


สรรพคุณ


สรรพคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ
  • ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง
  • กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด
  • ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย[73]

[แก้]
ผลกระทบต่อสุขภาพ

จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกาแฟกับคุณสมบัติทางยา ผลที่ได้จากการศึกษานั้นมีความขัดแย้งกันในเรื่องของประโยชน์ต่อสุขภาพของกาแฟ และยังมีความขัดแย้งกันในด้านผลกระทบที่เกิดจากการบริโภคกาแฟอีกด้วย[9]
การดื่มกาแฟดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดขนาดของหน้าอก[74] และการได้รับปริมาณคาเฟอีนในระดับหนึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งเต้านม[75] กาแฟดูเหมือนว่าจะลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ โรคเบาหวานประเภทที่ 2 โรคตับแข็ง[76] และโรคเกาต์ จากผลของการศึกษาระยะยาวในปี ค.ศ. 2009 พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม (ได้แก่ 3-5 ถ้วยต่อวัน) จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์[77] แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะไหลย้อนกลับและโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง[78] ผลกระทบที่เกิดจากการดื่มกาแฟบางอย่างเป็นเพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ แต่ก็ใช่ว่าส่วนประกอบอย่างอื่นไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเสียทีเดียว[79] อย่างเช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันอนุมูลอิสระภายในร่างกาย[80]
กาแฟช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้มันยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจอีกด้วย
ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น กาแฟมีส่วนช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา
ทีมวิจัยของ University of Bari ประเทศอิตาลี พบว่าการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุกได้ และยังช่วยลดอัตราการกระตุกให้ช้าลงได้สำหรับผู้ป่วย[81]
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เยเซอร์ ดอร์รี ได้เสนอว่ากลิ่นของกาแฟสามารถลดอาการอยากอาหารและสามารถฟื้นฟูประสาทรับกลิ่นได้ เขายังเสนอว่าผู้คนสามารถลดอาการอยากอาหารได้เมื่อพวกเขาได้สูดดมกลิ่นเมล็ดกาแฟเข้าไป และทฤษฎีดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับสัตว์ทดลองอีกด้วย[82]
แต่ว่าคาเฟอีนก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่ดื่มกาแฟมากเกินไป อย่างเช่น อาการ "ใจสั่น" ซึ่งเป็นอาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับคาเฟอีนมากเกินไป กาแฟยังเพิ่มความดันโลหิตให้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่ผลการศึกษาเพิ่มเติมก็ยังแสดงให้เห็นว่ามันช่วยลดอัตราเสี่ยงโดยรวมในการเกิดโรคหัวใจด้วย กาแฟยังทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับในบางคน แต่ในทางกลับกันก็ช่วยให้บางคนหลับได้ดีขึ้น นอกจากนี้มันยังอาจทำให้เกิดความกังวลและอาการหงุดหงิดง่ายให้กับบางคนที่ดื่มมากเกินไป และบางคนก็เกิดอาการทางประสาท ผลกระทบบางอย่างของกาแฟก็เกิดขึ้นกับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น มันทำให้อาการป่วยเลวร้ายลงในกรณีของผู้ป่วยประเภท PMS และยังลดความสามารถในการมีบุตรของสตรี และยังอาจเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกพรุนของผู้หญิงหลังวัยหมดระดู และยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หากแม่ดื่มตั้งแต่ 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป)
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ในประเทศเดนมาร์กได้มีการศึกษาสตรีจำนวน 18,478 คนซึ่งดื่มกาแฟเป็นปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์ พบว่ามันส่งผลให้อัตราเสี่ยงของการตายของทารกหลังคลอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก (แต่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการตายในปีแรกของทารก) ในรายงานระบุว่า "ผลการศึกษาบ่งชี้ถึงผลกระทบจากการดื่มตั้งแต่ 4 ถึง 7 ถ้วยต่อวัน" คนที่ดื่ม 8 ถ้วยต่อวันขึ้นไป (48 ออนซ์ขึ้นไป) จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 220% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม การศึกษานี้ยังไม่ได้มีการทำซ้ำให้แน่ใจ แต่ก็ทำให้แพทย์หลายๆ คนเพิ่มความระมัดระวังต่อการดื่มกาแฟมากเกินไปของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์
ผลการศึกษาตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2547 ใน American Journal of Clinical Nutrition [83] พยายามค้นหาว่าทำไมประโยชน์และโทษของกาแฟจึงได้ดูขัดกันเอง และได้ค้นพบว่าการดื่มกาแฟมีความเกี่ยวข้องกับการปรากฏชัดทางชีวเคมีของอาการอักเสบและเป็นผลกระทบที่รุนแรงของกาแฟต่อระบบหัวใจร่วมหลอดเลือด ซึ่งเป็นตัวอธิบายว่าทำไมกาแฟจึงได้มีผลดีต่อหัวใจเมื่อดื่มไม่เกินวันละ 4 ถ้วยเท่านั้น (ไม่เกิน 20 ออนซ์)
คาเฟอีนจึงเปรียบเสมือนยาพิษหากเสพมากเกินไป การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณเข้มข้นอย่างยิ่ง อย่างเช่น เป็นเม็ดหรือเป็นผง ในปริมาณมาก ก็อาจทำให้ร่างกายอาเจียน หมดสติ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
จากผลของการสำรวจพบว่า 10% ของผู้ตอบที่ดื่มกาแฟในปริมาณ 235 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป รายงานว่าตนมีความทุกข์มากขึ้นเมื่อตนขาดคาเฟอีน[84] ในขณะที่ผู้ตอบ 15% บอกว่าตนได้เลิกการบริโภคคาเฟอีนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของตน[85]